ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วงการลูกพลาสติกไทย ได้ผลิตนักตะกร้อตำแหน่งตัวฟาดระดับคุณภาพคับแก้ว ขึ้นมาติดทีมชาติจากรุ่นสู่รุ่นแบบไม่ขาดสาย และมีหลายคนที่พาทีมนักหวดลูกพลาสติกไทย ประสบความสำเร็จในเกมการแข่งขันระดับนานาชาติมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นตำนานที่แฟนกีฬาชาวไทย ยกย่องและกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้ วันนี้จะพาทุกท่านไปดูกันว่า 5 ตัวฟาดที่ดีที่สุดตลอดกาลแห่งทีมตะกร้อไทยมีใครกันบ้าง
อันดับ 5 อิทธิพล คมชัยศักดิ์

ย้อนเวลากลับไปเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว “โอ่ง” อิทธิพล คมชัยศักดิ์ คือหนึ่งในตัวฟาดตัวหลักของทีมตะกร้อไทยในยุคนั้น และพาทีมหวายไทยประสบความสำเร็จหลายรายการ แม้ในศึกเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเป็นเอเชียนเกมส์หนแรกที่ตะกร้อถูกบรรจุแข่งขัน จะได้เพียงเหรียญเงินก็ตาม ด้วยลีลาการฟาดด้วยเท้าขวาที่สวยงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ จึงทำให้อดีตนักตะกร้อทีมชาติไทยรายนี้ เป็นหนึ่งในตัวฟาดขวัญใจของแฟนกีฬาชาวไทยทั้งประเทศ ตลอดช่วงเวลาที่เขารับใช้ชาติ สำหรับจุดเด่นการขึ้นฟาดของ อิทธิพล คมชัยศักดิ์ จนทำให้แฟนตะกร้อยุคนั้น ต่างชื่นชอบและหลงไหลไปตามๆกันก็คือ การขึ้นฟาดได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งหนักและเบา จนบล็อกคู่ต่อสู้จับทางไม่ถูก โดยเฉพาะการขึ้นแตะหยอดซ้าย จนกลายเป็นท่าเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

อันดับ 4 อนุวัฒน์ ชัยชนะ

หากพูดถึงทีมเซปักตะกร้อไทยในยุคปัจจุบัน นอกจาก พรชัย เค้าแก้ว จะเป็นตัวฟาดตัวหลักแล้ว “เดอะคิลเลอร์บี” อนุวัฒน์ ชัยชนะ นักตะกร้อร่วมสังกัดกองทัพบก ก็เป็นตัวฟาดตัวหลักของทีมเช่นกัน แม้จะไม่มีโอกาสลงแข่งขันร่วมกัน เนื่องจากเป็นตัวฟาดด้วยกันทั้งคู่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จากการที่ทีมตะกร้อไทยยุคนี้ มีตัวฟาดชั้นนำของโลกอยู่ในทีมร่วมกัน 2 คน ได้ทำให้ชาติอื่น ไม่สามารถต้านทานศักยภาพทีมนักหวดลูกพลาสติกไทยได้
สำหรับ อนุวัฒน์ ชัยชนะ แม้จะเป็นตัวฟาดที่ไร้เสน่ห์ เนื่องจากท่าฟาดไม่สวยมากนัก ทว่าการขึ้นทำหน้าตาข่ายของเขาทุกครั้ง เต็มไปด้วยความเฉียบขาดและคุณภาพ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การขึ้นทำแบบฉาบฉวย จนคู่แข่งขึ้นบล็อกไม่ทัน นอกจากนี้ ยังมีลูกฟาดที่หนักหน่วงและทรงพลังจนเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

อันดับ 3 วิรัช โพธิ์ม่วง

อีก 1 นักตะกร้อรุ่นเดอะ ที่ยังอยู่ในใจแฟนกีฬาลูกหวายตลอดมา สำหรับ “ดำอำมหิต” วิรัช โพธิ์ม่วง ตัวฟาดทีมตะกร้อไทยในยุค 80 แม้จะเลิกเล่นไปแล้วกว่า 30 ปีก็ตาม แม้ 2 ปีสุดท้ายก่อนจะเลิกเล่น จะได้เพียงเหรียญเงิน ทั้งศึกเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อปี 1990 และซีเกมส์ครั้งที่ 16 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงที่เขารุ่งๆ ชาติคู่ปรับอย่างมาเลเซีย ก็ไม่สามารถต้านทานลูกฟาดของเขาได้เช่นกัน จุดเด่นของตัวฟาดจากเมืองพิษณุโลกสองแควรายนี้ คือการขึ้นฟาดที่รุนแรงหนักหน่วง ยิ่งสมัยก่อนยังใช้ลูกหวาย คู่ต่อสู้ที่ขึ้นบล็อก ต้องมีรอยฟกช้ำกลับบ้านเป็นประจำ ซึ่งบางรายถึงขั้นเลือดตกยางออก ด้วยพิษลูกฟาดของ วิรัช โพธิ์ม่วง จนเขาได้รับฉายาว่า “ดำอำมหิต”

อันดับ 2 พูนศักดิ์ เพิ่มทรัพย์

หากพูดถึงนักตะกร้อที่ฟาดสวยที่สุดในพงศาวดารตะกร้อไทย หลายคนต้องนึกถึงเขาคนนี้เป็นอันดับต้นๆ นั่นคือ พูนศักดิ์ เพิ่มทรัพย์ ตัวฟาดแห่งเซปักตะกร้อทีมชาติไทยในยุค 90 แม้จะเลิกเล่นแล้วกว่า 18 ปี นับตั้งแต่เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 14 ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2002 ทว่าลีลาการฟาดอันสวยงาม ที่ละม้ายคล้ายกับท่าลังกาหลังในกีฬายิมนาสติก ยังคงติดตาตรึงใจแฟนกีฬาตลอดมา พร้อมกับทำให้นักตะกร้อในรุ่นหลังๆจำนวนไม่น้อย นำไปเป็นแบบอย่างในการฝึกฟาดอีกด้วย นอกจากท่าจะสวยจนเป็นเสน่ห์มัดใจแฟนกีฬาลูกพลาสติกหลายๆคนแล้ว การขึ้นฟาดของอดีตนักตะกร้อรายนี้ มีความหลากหลาย สามารถเรียกคะแนนได้ทุกรูปแบบแบบไม่ว่าจะเป็นการใส่เต็มข้อ หรือการแตะหยอด

อันดับ 1 พรชัย เค้าแก้ว

เชื่อว่าแฟนตะกร้อจำนวนไม่น้อยคงจะมองเหมือนกันว่า ตัวฟาดอันดับ 1 ตลอดกาลแห่งวงการตะกร้อไทย คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ราชาหน้าตาข่าย” พรชัย เค้าแก้ว ตัวฟาดจอมเก๋าวัย 38 ปีจากจังหวัดขอนแก่น ที่ติดทีมชาติมาอย่างยาวนานกว่า 18 ปี นับตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปัจจุบัน เขาคนนี้นับเป็นตัวฟาดไม่กี่คนเท่านั้น ที่เล่นให้กับทีมชาติมาอย่างยาวนานจนอายุเกือบแตะเลข 4 ทั้งๆที่ตำแหน่งนี้ ต้องใช้แรงและพละกำลัง พร้อมทั้งเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บมากกว่าตำแหน่งอื่น ผลด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม จากการพาทีมตะกร้อไทยประสบความสำเร็จทุกรายการ โดยเฉพาะกับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ที่เขาคว้าไปแล้วทั้งสิ้น 10 เหรียญทอง จนกลายเป็นนักกีฬาไทยที่คว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงทำให้ พรชัย เค้าแก้ว คือหนึ่งในนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย จนกลายเป็นตำนานไปแล้ว แม้จะยังไม่เลิกเล่นก็ตาม