ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสน่ห์สำคัญของกีฬาตะกร้อ นอกจากลูกเสิร์ฟแล้ว การเทคตัวขึ้นฟาดหน้าตาข่าย ได้ทำให้กีฬาชนิดนี้ ได้รับความนิยมจากแฟนกีฬาอย่างสูง
อันดับ 3 วิรัช โพธิ์ม่วง

นักตะกร้อรุ่นเดอะ ที่ยังอยู่ในใจแฟนกีฬาลูกหวายตลอดมา สำหรับ “ดำอำมหิต” วิรัช โพธิ์ม่วง ตัวฟาดทีมตะกร้อไทยในยุค 80 แม้จะเลิกเล่นไปแล้วกว่า 30 ปีก็ตาม และช่วง 2 ปีสุดท้ายก่อนจะเลิกเล่น จะได้เพียงเหรียญเงิน ทั้งศึกเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อปี 1990 และซีเกมส์ครั้งที่ 16 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงที่เขารุ่งๆ ชาติคู่ปรับอย่างมาเลเซีย ก็ไม่สามารถต้านทานลูกฟาดของเขาได้เช่นกัน

อันดับ 2 อนุวัฒน์ ชัยชนะ

หากพูดถึงทีมเซปักตะกร้อไทยในยุคปัจจุบัน นอกจาก พรชัย เค้าแก้ว จะเป็นตัวฟาดตัวหลักแล้ว “เดอะคิลเลอร์บี” อนุวัฒน์ ชัยชนะ นักตะกร้อร่วมสังกัดกองทัพบก ก็เป็นตัวฟาดตัวหลักของทีมเช่นกัน แม้จะไม่มีโอกาสลงแข่งขันร่วมกัน เนื่องจากเป็นตัวฟาดด้วยกันทั้งคู่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จากการที่ทีมตะกร้อไทยยุคนี้ มีตัวฟาดชั้นนำของโลกอยู่ในทีมร่วมกัน 2 คน ได้ทำให้ชาติอื่น ไม่สามารถต้านทานศักยภาพทีมนักหวดลูกพลาสติกไทยได้

อันดับ 1 พรชัย เค้าแก้ว

เชื่อว่าแฟนตะกร้อจำนวนไม่น้อยคงจะมองเหมือนกันว่า ตัวฟาดอันดับ 1 แห่งวงการตะกร้อไทย คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ราชาหน้าตาข่าย” พรชัย เค้าแก้ว ตัวฟาดจอมเก๋าจากจังหวัดขอนแก่น ที่ติดทีมชาติมาอย่างยาวนานกว่า 18 ปี นับตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปัจจุบัน เขาคนนี้นับเป็นตัวฟาดไม่กี่คนเท่านั้น ที่เล่นให้กับทีมชาติมาอย่างยาวนานจนอายุเกือบแตะเลข 4 ทั้งๆ ที่ตำแหน่งนี้ ต้องใช้แรงและพละกำลัง พร้อมทั้งเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บมากกว่าตำแหน่งอื่น ผลด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม จากการพาทีมตะกร้อไทยประสบความสำเร็จทุกรายการ โดยเฉพาะกับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ที่เขาคว้าไปแล้วทั้งสิ้น 10 เหรียญทอง จนกลายเป็นนักกีฬาไทยที่คว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงทำให้ พรชัย เค้าแก้ว คือหนึ่งในนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย จนกลายเป็นตำนานไปแล้ว