บ่ายวันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เวทีมวยไทยช่อง 7 สีเตรียมระเบิดความมันส์ด้วยโปรแกรม “ศึกมวยไทย 7 สี” จัดเต็ม 6 คู่ ครอบคลุมพิกัด 102–127 ปอนด์ พร้อมสองคู่ปิดรายการช่วง 110 และ 104 ปอนด์ที่ต้องวัดกันด้วยความคมชัดของช็อตและวินัยเกมรับระดับสูง ผลชั่งน้ำหนักจริงครั้งนี้สะท้อนภาพรวมว่าไฟท์ส่วนใหญ่อยู่ในกรอบใกล้พิกัด มีทั้งกรณี “ขาดเล็กน้อย” และ “เกินเล็กน้อย–ถึงปานกลาง” ทำให้เราคาดเดาโทนกลยุทธ์ได้ชัดเจนขึ้นว่าคู่ไหนเน้นสปีดและการฉาบฉวย คู่ไหนมีแนวโน้มเดินบี้วงในเพื่อใช้แรงปะทะเป็นตัวเร่งคะแนน

บทความนี้ออกแบบให้เป็นคู่มือก่อนดูจริง เน้น 3 เลนส์การตัดสินที่มักชี้ผลในรายการ 7 สี ได้แก่ ความคมและผลจริงของอาวุธ โดยเฉพาะหมัดตรง เตะลำตัว และศอกสั้นที่ทำให้หยุดหรือเสียสมดุล การคุมพื้นที่และตำแหน่งยืน ซึ่งแสดงผ่านการยึดกลางเวที ตัดมุม และไม่ถอยเป็นเส้นตรง และ ภาพปิดยก (ที่มักชี้ทิศทางคะแนนเมื่อทุกอย่างสูสี เราจะเห็นว่าคู่ที่น้ำหนักชั่ง “เกิน” มักได้เปรียบอิมแพคในวงใน แต่ต้องบริหารแรงปลายและการ์ดช่วงล้า ขณะที่ผู้ชั่ง “ขาดเล็กน้อย” มักคล่องและฉาก–สวนได้ไว แต่จำเป็นต้องทำช็อตให้มีผลจริงทุกครั้งเพื่อให้คะแนนชัดเจนในสายตากรรมการ

โปรแกรมศึกมวยไทย 7 สี 9 พ.ย. 2568 | เทียบชั่งจริง ใครได้เปรีย วิเคราะห์ก่อนชก และช็อตชี้ขาด

ลำดับ ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน พิกัด (ปอนด์) ชั่งจริง (แดง/น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก หมายเหตุเชิงแทคติก
คู่ที่ 1 นฤเดช เพชรเกียรติเพชร วังไพร รถสวยจ่าเจต 102 102.6 / 101.2 แดงเกิน 0.6 / น้ำเงินขาด 0.8 หนักเฉียด ๆ ปะทะคล่อง จับตาภาพปิดยก
คู่ที่ 2 ไกรทอง พึยู.ผ้าใบ เด็กดอย ทีเอ็น.มวยไทย 126 125.8 / 126.8 แดงขาด 0.2 / น้ำเงินเกิน 0.8 คล่อง vs อิมแพค วงใน–ฉีกมุมชี้ผล
คู่ที่ 3 พยัคฆ์สุรินทร์ เจพี.พาวเวอร์ ไข่มุกขาว เบสชะอวด 127 127.2 / 128.8 แดงเกิน 0.2 / น้ำเงินเกิน 1.8 วงในดุ น้ำเงินมวลเด่น แดงต้องเริ่ม–จบก่อน
คู่ที่ 4 ปีใหม่ เอราวัณ ดอกไม้ป่า สันติอุบล 123 123.4 / 123.2 แดงเกิน 0.4 / น้ำเงินเกิน 0.2 สมดุลสูง แลกสั้นคม คุมระยะสำคัญ
คู่ที่ 5 นรสิงห์ ว.จักรวุฒิ อาซีส เอราวัณ 110 110 / 110 เท่า / เท่า แทคติก–ความนิ่ง–ภาพจำท้ายยกชี้ทาง
คู่ที่ 6 แสงเพชร ว.เรี่ยมสวรรค์ เพชรพยัคฆ์ ทูเอ็นเทค 104 104 / 105 แดงเท่า / น้ำเงินเกิน 1.0 เทคนิคนิ่ง vs อิมแพค ต้องวัดแรงปลาย

จากตารางรวมจะเห็นว่าโทนของทั้งรายการมีความใกล้เคียงพิกัดสูงเป็นพิเศษ ส่งผลให้ “คุณภาพของช็อต” และ “การคุมพื้นที่” มีน้ำหนักต่อคะแนนมากกว่าปริมาณการออกอาวุธ โดยคู่เปิดรายการที่ 102 ปอนด์เริ่มด้วยความเร็วและการฉาก–สวนอย่างชัดเจน ก่อนไต่ระดับไปยังพิกัดกลาง 126–127 ปอนด์ที่ผสมทั้งแรงปะทะและเทคนิค แล้วขยับลงสู่ 123 ปอนด์ที่เนียนละเอียด สู่ 110 ปอนด์ซึ่งเท่าพิกัดทั้งสองฝ่ายให้วัดกันที่แทคติกล้วน ๆ ก่อนปิดท้ายที่ 104 ปอนด์ซึ่งมีน้ำเงินเกิน 1 ปอนด์ น่าจับตาความนิ่งของแดงและแรงปลายของน้ำเงินว่าจะคงคุณภาพได้ยาวจบสามยกหรือไม่

จุดร่วมที่ควรจับตาในรายการนี้คือ “จังหวะสอง” และ “ภาพปิดยก” เพราะเมื่อค่าชั่งใกล้กันมาก ความแตกต่างที่จะทำให้คะแนนเทเข้าหาฝ่ายหนึ่งคือการทำให้อีกฝ่ายหยุดหรือเสียสมดุลอย่างชัดเจนที่ปลายยก อีกทั้งการคืนการ์ดทันทีหลังคอมโบเป็นวินัยสำคัญเพื่อป้องกันการโดนสวนกลับแบบมีผลจริง โดยเฉพาะในคู่ที่มีฝั่ง “เกินมาก” ซึ่งอาจเริ่มล้าในช่วงยกท้ายและเสี่ยงถูกฉกแต้มจากหมัดตรงหรือศอกสั้นที่ลงเป้าเฉียบคมเพียงครั้งเดียว

คู่ที่ 1 – พิกัด 102 ปอนด์: นฤเดช เพชรเกียรติเพชร vs วังไพร รถสวยจ่าเจต

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
102 ปอนด์ 102.6 101.2 แดงเกิน 0.6 / น้ำเงินขาด 0.8 1.4 ปอนด์ (แดงหนักกว่า) แดงบวกสั้น–ปิดการ์ดไว / น้ำเงินฉีกมุม–ตั้งเตะคั่น ภาพปิดยก + การคืนการ์ดหลังคอมโบ

นฤเดชได้เปรียบอิมแพคเล็กน้อยจากการชั่งเกิน 0.6 ปอนด์ จึงเหมาะกับเกมบวกสั้นในระยะประชิดและการปิดจังหวะด้วยศอกสั้นทันทีไม่ให้วังไพรได้ฉกจังหวะสอง ส่วนวังไพรที่ขาด 0.8 ปอนด์ควรใช้ความคล่องตามธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการฉาก–ตัดมุมอย่างสม่ำเสมอแล้วตั้งเตะคั่นเพื่อลดความเร็วเกมก่อนสอดหมัดตรงหนึ่ง–สองที่เข้าเป้า ทำให้ภาพคะแนนชัดเจนโดยไม่ต้องยืนแลกนาน การถอยเป็นเส้นตรงควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด เพราะจะเปิดทางให้คู่ต่อสู้บี้ติดตัวจนเสียพื้นที่ต่อเนื่อง

ปัจจัยชี้ขาดคือ “ภาพปิดยก” และ “การคืนการ์ด” หากฝ่ายใดรีเซ็ตการ์ดช้าหลังปล่อยชุดแม้เพียงเสี้ยววินาที โอกาสโดนสวนของอีกฝ่ายจะสูงมาก โดยเฉพาะในยกแรกที่ทั้งคู่ยังสดและความเร็วสูง การได้ช็อตคมหนึ่งครั้งใน 10–15 วินาทีสุดท้ายจะผลักคะแนนให้เททันที แม้จำนวนช็อตรวมจะสูสี การจัดลำดับอาวุธแบบเริ่มก่อน–จบก่อนในหนึ่งแฟรมจะช่วยลดความเสี่ยงและขโมยคะแนนได้พร้อมกัน

คู่ที่ 2 – พิกัด 126 ปอนด์: ไกรทอง พึยู.ผ้าใบ vs เด็กดอย ทีเอ็น.มวยไทย

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
126 ปอนด์ 125.8 126.8 แดงขาด 0.2 / น้ำเงินเกิน 0.8 1.0 ปอนด์ (น้ำเงินหนักกว่า) แดงตัดมุม–หนึ่งสองเร็ว / น้ำเงินคุมวงใน–ศอกสั้น รีไฮเดรชัน–แรงปลาย–ไม่ติดเชือก

เด็กดอยชั่งเกิน 0.8 ปอนด์ บอกใบ้แนวทางเดินค้ำและคุมวงใน ใช้ลูกเข่าตรงและศอกสั้นเป็นตัวเร่งภาพคะแนน ขณะที่ไกรทองขาด 0.2 ปอนด์จึงสามารถฉาบฉวยและเปลี่ยนเลนได้ไวกว่า กลยุทธ์ของแดงควรเริ่มจากการตัดมุมเพื่อบังคับทิศการเดินของน้ำเงินไม่ให้ปิดพื้นที่ได้ง่าย ตามด้วยหมัดหนึ่ง–สองที่คมชัดและรีเซ็ตระยะทันที เมื่อถูกบีบจนชิดเชือกต้องรีบตีมุมออกด้านข้างมากกว่าถอยตรง เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ต่อเนื่องจนน้ำเงินได้งานฟรี

ความแตกต่างจริง ๆ ของคู่นี้จะปรากฏในยกสองและยกสาม เมื่อ “แรงปลาย” และ “การ์ดช่วงล้า” เริ่มทดสอบวินัย หากน้ำเงินรีไฮเดรตได้ดีและยังดันเพซได้อย่างมีแบบแผน โอกาสสะสมแต้มจากงานวงในจะไหลเข้าหาตน แต่หากเร่งเกินจนการ์ดตก แดงที่ฉาบฉวยไวสามารถสวนหมัดตรงหรือศอกเฉียงให้เห็นผลชัดเจน และพลิกกระแสคะแนนกลับมาได้ทันที การไม่ติดเชือกคือเงื่อนไขสำคัญของแดง ขณะที่น้ำเงินต้องทำให้งานวงใน “มีผลจริง” ทุกครั้งจึงจะคุ้มแรง

คู่ที่ 3 – พิกัด 127 ปอนด์: พยัคฆ์สุรินทร์ เจพี.พาวเวอร์ vs ไข่มุกขาว เบสชะอวด

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
127 ปอนด์ 127.2 128.8 แดงเกิน 0.2 / น้ำเงินเกิน 1.8 1.6 ปอนด์ (น้ำเงินหนักกว่า) แดงเริ่มก่อน–จบก่อน / น้ำเงินบี้วงใน–เข่าตรง–กันศอกสวน วินัยการ์ดช่วงล้า + ช็อตปิดยก

ไข่มุกขาวได้เปรียบมวลค่อนข้างชัดจากการชั่งเกิน 1.8 ปอนด์ โทนเกมจึงเหมาะแก่การบี้วงในและใช้เข่าตรงสะสมงานพร้อมศอกสั้นในจังหวะประชิด ส่วนพยัคฆ์สุรินทร์แม้เกินเล็กน้อยเพียง 0.2 ปอนด์ แต่หากต้องการคุมกระแสคะแนนจำเป็นต้อง “เริ่มก่อน–จบก่อน” ในทุกแฟรมของการแลก คือเปิดงานให้ชัดแล้วรีบปิดการ์ด เพื่อไม่ให้ถูกสวนศอกหรือถูกบี้ติดตัวจนเสียพื้นที่ การวางตำแหน่งเท้าให้กินพื้นที่ครึ่งก้าวจะช่วยบังคับไลน์ปะทะให้เป็นของตนได้มากขึ้น

ยกสามจะตัดสินด้วย “วินัยการ์ดช่วงล้า” และ “ภาพปิดยก” อย่างเข้มข้น หากน้ำเงินยังคุมวงในได้และไม่ปล่อยคอมโบยาวจนหลวม การสะสมแต้มจะไหลต่อเนื่อง แต่หากชะล้าใจ แดงมีโอกาสฉวยจังหวะสองและซัดช็อตคมก่อนระฆังเพื่อดึงคะแนนคืนทันที การกำกับระยะและการไม่ถอยเส้นตรงคือหลักประกันของผลลัพธ์ในไฟท์นี้

ตารางมวยไทยครบทุกคู่ พร้อมลิงก์ถ่ายทอดสดวันนี้! รวมทุกศึก ทุกสังเวียน ดูสดได้ในที่เดียว

คู่ที่ 4 – พิกัด 123 ปอนด์: ปีใหม่ เอราวัณ vs ดอกไม้ป่า สันติอุบล

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
123 ปอนด์ 123.4 123.2 แดงเกิน 0.4 / น้ำเงินเกิน 0.2 0.2 ปอนด์ (แดงหนักกว่าเล็กน้อย) แลกสั้นคุณภาพ–เตะลำตัว–หมัดตรง / คุมระยะ คุมระยะ > ปริมาณ / ภาพจำท้ายยก

นี่คือคู่ที่สมดุลสูงในด้านน้ำหนัก ชี้ขาดด้วยความประณีตของรายละเอียด ปีใหม่ควรใช้เตะลำตัวและหมัดตรงที่คมเพื่อบั่นทอนลมหายใจแล้วค่อยบวกสั้นปิดการ์ด ขณะที่ดอกไม้ป่าเน้นการยืนตำแหน่งให้เหนือกว่าเสี้ยวหนึ่ง กำกับระยะกลางไม่ให้โดนบีบจนประชิด และเลือกสวนในจังหวะที่คู่ต่อสู้ยืดตัวมากเกินไป การยืดคอมโบโดยไม่จำเป็นคือความเสี่ยง เพราะเปิดช่องให้โดนศอกสวนซึ่งมีน้ำหนักทางสายตาสูงมาก

การคุมระยะจะมีค่ามากกว่าปริมาณอาวุธในไฟท์นี้ หากฝ่ายใดควบคุมระยะกลางและจุดชนได้ จะสร้างโอกาสให้ช็อตสำคัญเข้าเป้าอย่างสะอาดโดยไม่ต้องออกเยอะ “ภาพจำท้ายยก” เช่น หมัดตรงใสสะอาดหรือเตะลำตัวจนหยุดชั่วขณะ จะทำให้คะแนนเอนเข้าหาทันที แม้จังหวะก่อนหน้านั้นจะสูสีก็ตาม

คู่ที่ 5 – พิกัด 110 ปอนด์: นรสิงห์ ว.จักรวุฒิ vs อาซีส เอราวัณ

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
110 ปอนด์ 110 110 เท่า / เท่า 0.0 ครองกลางเวที–ตัดมุม–ตั้งงานเร็ว / สวนคมจังหวะสอง ความต่อเนื่องของงาน + ภาพปิดยก

เมื่อน้ำหนักเท่ากันเป๊ะ ผลชกจะถูกชี้นำด้วยแทคติกและความนิ่ง นรสิงห์ควรยึดกลางเวทีเป็นหลัก ตัดมุมให้คู่ต่อสู้ถอยเส้นตรงก่อนตั้งงานด้วยแย็บและเตะยาวเก็บแต้ม ส่วนอาซีสต้องอ่านแพตเทิร์นของแดงให้ไวและสวนคมในจังหวะสอง ด้วยหมัดตรงหรือศอกสั้นที่ทำให้หยุดชั่วขณะ การจัดลำดับ “เริ่มก่อน–จบก่อน” ภายในหนึ่งแฟรมจะทำให้ลดความเสี่ยงและเพิ่มน้ำหนักทางสายตาได้พร้อมกัน

สิ่งที่ชี้ผลในคู่สมดุลเช่นนี้คือ “ความต่อเนื่องของงาน” และ “ภาพปิดยก” ฝ่ายที่ทำงานต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้ออกของฟรี และตบท้ายยกด้วยช็อตคมหนึ่งครั้งจะกุมคะแนนได้เรื่อย ๆ แม้จำนวนอาวุธรวมจะไม่ต่างกันมาก การคืนการ์ดทันทีหลังคอมโบและการไม่หลุดโฟกัสจึงเป็นหัวใจตลอดสามยก

คู่ที่ 6 – พิกัด 104 ปอนด์: แสงเพชร ว.เรี่ยมสวรรค์ vs เพชรพยัคฆ์ ทูเอ็นเทค

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
104 ปอนด์ 104 105 แดงเท่า / น้ำเงินเกิน 1.0 1.0 ปอนด์ (น้ำเงินหนักกว่า) แดงหลอกนำ–ฉาก–สวน / น้ำเงินเดินชั้น–บวกสั้น–ปิดการ์ด แรงปลาย–การ์ดไม่ตก–ช็อตชัดท้ายยก

เพชรพยัคฆ์เกินหนึ่งปอนด์ บ่งบอกว่าแรงปะทะและการยืนชนในวงในจะเด่นกว่าเล็กน้อย แนวทางของน้ำเงินจึงควรเป็นการเดินชั้นคงที่ บังคับให้แดงต้องตั้งรับในเลนที่คาดเดาได้ แล้วบวกสั้น ๆ ด้วยหมัดและศอกก่อนรีบปิดการ์ดไม่ให้โดนสวน ส่วนแสงเพชรที่ชั่งเท่าพิกัดต้องอาศัยเทคนิคนิ่งเข้าไว้ หลอกนำเพื่อดึงการ์ดอีกฝ่ายแล้วฉาก–สวนด้วยหมัดตรงหรือเตะลำตัวที่เข้าเป้าสะอาด จากนั้นรีเซ็ตระยะทันทีเพื่อลดเวลาปะทะในระยะที่เสียเปรียบมวล

ยกสามคือจุดที่ “แรงปลาย” และ “การ์ดไม่ตก” จะชี้ชะตา หากน้ำเงินเดินมากจนล้าและรีเซ็ตการ์ดช้าลง แดงจะมีพื้นที่ฉวยช็อตคมในช่วง 15 วินาทีสุดท้ายเพื่อพลิกคะแนนกลับมา ในทางกลับกัน หากแดงถอยเป็นเส้นตรงโดยไม่คืนงาน ภาพความเป็นฝ่ายคุมเกมจะไหลไปหาน้ำเงินทันที ดังนั้นการเลือกแลกเฉพาะจังหวะได้เปรียบและการยืนตำแหน่งเหนือครึ่งก้าวคือกุญแจของไฟท์ปิดรายการ

ภาพรวมแนวโน้มและโฟลว์ของรายการ

เมื่อเรียงตามลำดับคู่จะเห็นการออกแบบโฟลว์ที่พาผู้ชมไต่ระดับจากเกมสปีดสูงและฉาบฉวยในพิกัด 102 ปอนด์ สู่พิกัด 126–127 ปอนด์ที่ผสมแรงปะทะและเทคนิคอย่างลงตัว ต่อด้วยพิกัด 123 ปอนด์ที่เน้นความละเอียดของการคุมระยะและภาพจำท้ายยก ไปจนถึงพิกัด 110 ปอนด์ที่ชั่งเท่าทั้งคู่ซึ่งวัดกันที่แทคติกล้วน ๆ และปิดท้ายด้วย 104 ปอนด์ซึ่งเป็นการดวลระหว่างเทคนิคนิ่งกับอิมแพคที่ต้องวัดแรงปลาย สิ่งที่เชื่อมทั้งงานเข้าด้วยกันคือการทำ “ช็อตมีผลจริง” และการคุมเวที หากฝ่ายใดทำให้คู่ต่อสู้หยุดหรือเสียสมดุลได้บ่อยกว่า โดยไม่หลุดการ์ดและไม่ถอยเส้นตรง คะแนนจะค่อย ๆ เทเข้าหาฝ่ายนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ

เคล็ดลับการดูให้สนุกและอ่านเกมได้ใกล้เคียงกรรมการ คือโฟกัส 4 สัญญาณหลัก ได้แก่ (1) การยึดกลางเวทีและการตัดมุมที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางหนี (2) การคืนการ์ดทันทีหลังคอมโบเพื่อลดช่องสวน (3) จังหวะสองที่ลงเป้าอย่างสะอาด โดยเฉพาะหมัดตรง ศอกสั้น และเตะลำตัว และ (4) ภาพปิดยกที่มีผลจริงใน 10–15 วินาทีสุดท้าย หากติดตามสัญญาณเหล่านี้ควบคู่กับค่าชั่งจริงและธรรมชาติพิกัดของแต่ละคู่ คุณจะคาดการณ์ทิศทางคะแนนได้ตั้งแต่กลางไฟท์ และเพลิดเพลินกับการวิเคราะห์เชิงแทคติกระหว่างชมถ่ายทอดสดได้อย่างเต็มที่