เช้าวันอาทิตย์ที่เวทีมวยจิตรเมืองนนท์จะเปลี่ยนเป็นเวทีแห่งการวัดฝีมือและวินัยเชิงแทคติก เมื่อ “ศึกมวยดีวิถีไทย” เปิดสังเวียนด้วยไฟท์การ์ด 8 คู่ครบทุกทุนเดิมของมวยไทย ทั้งสปีด การคุมระยะกลาง ลูกวงใน การคลินช์คุณภาพ ไปจนถึงช็อตชี้เป็นชี้ตายช่วงสิบวินาทีสุดท้ายของแต่ละยก ข้อมูลชั่งน้ำหนักระบุว่าทุกคู่ “ชั่งได้ตามพิกัด” ทำให้สมดุลแรง–สปีดใกล้เคียงกันหมด ผลคะแนนจึงจะโน้มไปตามคุณภาพของอาวุธที่มีผลจริง กับการคุมเวที และ “ภาพปิดยก” ที่สะท้อนความเหนือกว่าอย่างจับต้องได้มากกว่าปริมาณการออกอาวุธโดยรวมเพียงอย่างเดียว นี่คือคู่มือก่อนดูที่จัดเป็นหมวดหมู่ อ่านง่าย อ้างอิงไว และพร้อมใช้งานบนเว็บไซต์ WordPress ได้ทันทีกรอบการวิเคราะห์ในบทความนี้ยึดสามเสาหลักของการตัดสิน คือ การคุมพื้นที่และตำแหน่งยืนเพื่อบังคับเลนโจมตีและตัดทางหนีของคู่ต่อสู้ คุณภาพของช็อต: หมัดตรงสะอาด เตะลำตัวที่ทำให้ชะงัก ศอกสั้นในคาบแลกระยะใกล้ รวมถึงการตั้งเตะคั่นจังหวะ ช่วงท้ายยกที่ต้อง “ปิดยกให้มีภาพ” เพราะไฟท์สูสีระดับเท่าพิกัดแบบนี้ มักพลิกด้วยหนึ่งช็อตคมก่อนระฆัง บทความจะแสดงตารางรวมเพื่อตรวจพิกัด–ชั่งจริงอย่างไว ตามด้วยตารางย่อยรายคู่และย่อหน้าวิเคราะห์ 2–3 ย่อหน้าที่ลงดีเทลทั้งแนวทางโจมตี–รับมือ ปัจจัยเสี่ยง และคีย์ชี้ขาดในสายตากรรมการโปรแกรมศึกมวยดีวิถีไทย 9 พ.ย. 2568 | เวทีมวยจิตรเมืองนนท์ 18:00 น. เทียบพิกัดใครได้เปรียบ

ลำดับ ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน พิกัด (ปอนด์) ชั่งจริง (แดง/น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โน้ตเชิงแทคติก
คู่ที่ 1 เพชรพิฆาต ส.ประวัติเมือง แป๊ะยิ้ม ซันรัตภูมิ 100 100 / 100 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด เกมเร็ว ชิงจังหวะ–หนึ่งสอง–ปิดการ์ดไว
คู่ที่ 2 เพชรสายฝน ซันรัตภูมิ เบิกฤกษ์ ลูกเมืองเพชร 104 104 / 104 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด สมดุลแรง–เทคนิค วัดคุณภาพช็อต
คู่ที่ 3 เพชรเอก ศิษย์ณมล เพชรน้อง สยามเคโอวันจิมส์ 100 100 / 100 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด แทคติกจัดเต็ม คุมระยะกลาง–ภาพปิดยก
คู่ที่ 4 เก้าโพธิ์แดง ศักดิ์แสนพัน เพชรบูรพา พยัคฆ์ลำพอง 100 / 102 100 / 102 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด ต่างพิกัดตั้งต้นเล็กน้อย: 102 ได้มวลเฉียด ๆ
คู่ที่ 5 เหนือพยัคฆ์ ศิษย์ปัณนา ลูกเขียด เพชร ปตอ. 120 120 / 120 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด จังหวะสอง–คุมเวที–รีเซ็ตไว
คู่ที่ 6 เพชรธีระ ก.วุฒิพงศ์ สารคาม ซุปเปอร์โปรสมุย 135 135 / 135 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด อิมแพคชัด วงใน–เข่าตรง–ศอกสั้น
คู่ที่ 7 จอมเดช ไซรัสยิม ฉายตะวัน บุญลานนามวยไทย 132 132 / 132 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด สมดุลสูง วัดความนิ่ง–ความคม
คู่ที่ 8 บิลลาดิน ส.พูลสวัสดิ์ อัญชัน เจพาวเวอร์รูฟภูเก็ต 122 122 / 122 เท่าพิกัด / เท่าพิกัด เกมเร็ว แลกสั้นเน้นผลจริง

ตารางรวมด้านบนยืนยันว่าค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยเกมสูสีที่วัดกันด้วย “คุณภาพมากกว่าปริมาณ” ทุกคู่ชั่งได้เท่าพิกัดตรงตามเกณฑ์ ทำให้บดบังข้อได้เปรียบขาด–เกินที่มักใช้คาดเดาแนวทางล่วงหน้า ที่นี่จึงเหลือเพียงการบ้านของแต่ละมุมว่าจะปรับจังหวะการเริ่ม–จบในหนึ่งแฟรมให้คมที่สุดอย่างไร ใช้การตั้งเตะคั่นตัดสปีดคู่ต่อสู้มากน้อยแค่ไหน และจะบริหารพื้นที่กลางเวทีให้เป็นเจ้าบ้านได้ต่อเนื่องเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น “ภาพปิดยก” จะยกสถานะให้ช็อตหนึ่งช็อตมีน้ำหนักมากกว่าการแลกยาวที่ไม่เข้าเป้าชัด ซึ่งต้องอาศัยการอ่านไลน์คู่ต่อสู้ การยืนตำแหน่งเท้าเหนือครึ่งก้าว และการคืนการ์ดทันทีหลังปล่อยชุดทุกครั้ง

ในเชิงโฟลว์ รายการเปิดฉากด้วยรุ่น 100 ปอนด์ที่ความเร็วสูงและต้องอาศัยการตัดมุมอย่างมีวินัย ก่อนค่อย ๆ เพิ่มแรงปะทะใน 104 และ 120 ปอนด์ ทั้งยังมีคู่พิเศษที่ต่างพิกัดตั้งต้น 100/102 ซึ่งจะทดสอบการคุมระยะเมื่ออีกฝ่ายมีมวลมากกว่าหน่อยหนึ่ง ช่วงท้ายรายการจะพุ่งสู่ 135–132 ปอนด์ที่เน้นวงในและศอกสั้นมากขึ้น ก่อนปิดบัญชีด้วย 122 ปอนด์ซึ่งต้องกลับสู่เกมเร็วแบบ “แลกสั้นแล้วรีเซ็ต” เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดช่องสวน การประกอบรสชาติเช่นนี้ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสทั้งความละเอียดและความดุดันครบในครึ่งวันเดียว

คู่ที่ 1 – พิกัด 100 ปอนด์: เพชรพิฆาต ส.ประวัติเมือง vs แป๊ะยิ้ม ซันรัตภูมิ

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
100 ปอนด์ 100 100 เท่าพิกัดทั้งคู่ ตั้งเตะคั่น–หมัดหนึ่งสอง–ปิดการ์ดไว ภาพปิดยก + คุมกลางเวที

ด้วยพิกัดเบาที่สุดของรายการ เกมจะใช้ความเร็วและการฉาบฉวยเป็นหลัก เพชรพิฆาตควรเริ่มต้นด้วยการตั้งเตะคั่นจังหวะให้แป๊ะยิ้มไม่สามารถไล่สปีดจนได้คอมโบฟรี จากนั้นสอดหมัดตรงหนึ่ง–สองที่คมเพื่อบันทึกคะแนนสะอาดแล้วรีเซ็ตระยะทันที ในทางกลับกัน แป๊ะยิ้มต้องไม่ยืนแลกยาวเกินจำเป็น แต่เลือก “เริ่มก่อน–จบก่อน” ในหนึ่งแฟรม พร้อมคืนการ์ดให้ไวเพราะพื้นที่ระหว่างชุดแลกคือประตูสู่การสวนอย่างได้ผล จุดที่จะพลิกคะแนนได้ง่ายคือจังหวะที่ฝ่ายรุกหลุดระยะโดยไม่ได้รีเซ็ต เพราะอีกฝ่ายสามารถสอดหมัดตรงจบชุดและทิ้งภาพจำชัดเจน

หัวใจของคู่นี้คือ “ภาพปิดยก” และ “การคุมศูนย์กลางเวที” หากฝ่ายหนึ่งปิดยกด้วยช็อตคมอย่างสม่ำเสมอในทุกยก แม้การออกอาวุธโดยรวมจะสูสีก็ทำให้คะแนนไหลได้ การยืนตำแหน่งเท้าให้เหนือครึ่งก้าวช่วยบังคับเลนโจมตีของคู่ต่อสู้และทำให้การตัดมุมสมบูรณ์ขึ้น เมื่อผนวกกับการคืนการ์ดหลังคอมโบที่มีวินัย คู่เปิดรายการนี้จะผลัดกันรุก–รับแบบมีกรอบชัดและอ่านได้สนุกตั้งแต่ต้นไฟท์

คู่ที่ 2 – พิกัด 104 ปอนด์: เพชรสายฝน ซันรัตภูมิ vs เบิกฤกษ์ ลูกเมืองเพชร

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
104 ปอนด์ 104 104 เท่าพิกัดทั้งคู่ ตัดมุม–คุมระยะกลาง–ศอกสั้นเมื่อประชิด คุณภาพช็อต > ปริมาณ + รีเซ็ตระยะทันที

เพชรสายฝนกับเบิกฤกษ์มีจุดแข็งต่างกันเล็กน้อย แต่เมื่อตัวเลขชั่งทำให้สมดุลแรง–สปีดเท่ากัน สิ่งที่จะแยกผลคือรายละเอียดของการคุมระยะกลางและการตัดมุมอย่างเป็นระบบ แดงควรเน้นสร้าง “จุดชนที่ตัวเองถนัด” ด้วยการวางเตะลำตัวและแย็บบังคับเท้าหน้าให้น้ำเงินเสียตำแหน่ง ก่อนค่อยบวกศอกสั้นปิดแฟรม ส่วนเบิกฤกษ์ต้องระวังการยืดคอมโบและรีเซ็ตระยะทันทีเมื่อจบชุด ไม่ปล่อยให้แดงมีเวลาตั้งตัวสวนกลับ การยึดพื้นที่กลางเวทีร่วมกับการตัดมุมสองจังหวะติด จะลดเส้นทางหนีและเปิดทางให้ช็อตคมลงเป้า

คีย์วัดผลคือ “คุณภาพช็อตมากกว่าปริมาณ” เมื่อเกมสูสี กรรมการจะมองหาช็อตที่ทำให้หยุดหรือเสียสมดุลมากกว่าจำนวนครั้งที่ออก การสื่อสารทางสายตาด้วยช็อตที่สะอาดและย้ำช่วงท้ายยกจะช่วยดึงคะแนนได้ต่อเนื่อง ผู้ที่รีเซ็ตระยะได้ไวกว่าจะควบคุมความเสี่ยงและรักษาความคมของอาวุธไว้ได้ตลอดสามยก

คู่ที่ 3 – พิกัด 100 ปอนด์: เพชรเอก ศิษย์ณมล vs เพชรน้อง สยามเคโอวันจิมส์

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
100 ปอนด์ 100 100 เท่าพิกัดทั้งคู่ เตะลำตัว–หมัดตรง–เปลี่ยนเลนเร็ว ภาพปิดยก + ไม่เสียตำแหน่งเชือก

พิกัดนี้บังคับให้ทั้งคู่ต้องเล่น “สะอาดและคม” เป็นหลัก เพชรเอกควรวางเตะลำตัวเป็นฐานเพื่อตัดลมหายใจและชะลอจังหวะของเพชรน้อง ก่อนค่อยจี้หมัดตรงแบบสั้น–คม แล้วรีบเปลี่ยนเลนออกด้านข้างเพื่อตัดช่องสวนกลับ ส่วนเพชรน้องต้องโต้ด้วยแพตเทิร์นที่คาดเดายาก สลับระดับโจมตีลำตัว–ศีรษะ เพื่อบีบให้แดงเสียจังหวะหรือลืมคืนการ์ดชั่วคราว เปิดประตูให้ศอกสั้นหรือหมัดตรงชุดสองลงเป้าก่อนรีเซ็ตระยะ

สิ่งที่ต้องระวังคือ “การเสียตำแหน่งเชือก” เพราะเมื่อถูกบีบจนถอยติดเชือก ต่อให้การ์ดดีแค่ไหน ระยะสวนจะเสียเปรียบโดยธรรมชาติ การหมุนไหล่ออกจากแนวเชือกพร้อมตัดมุมจึงเป็นทักษะสำคัญ ขณะที่ฝ่ายรุกควรปิดยกด้วยช็อตสะอาดเพื่อทิ้งภาพจำ ทุกครั้งที่เก็บภาพปลายยกได้ เกมรวมจะค่อย ๆ เทเข้าหาฝ่ายนั้นแม้ปริมาณรวมไม่ต่างกันมาก

คู่ที่ 4 – พิกัด 100/102 ปอนด์: เก้าโพธิ์แดง ศักดิ์แสนพัน (100) vs เพชรบูรพา พยัคฆ์ลำพอง (102)

พิกัด (แดง/น้ำเงิน) ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
100 / 102 ปอนด์ 100 102 เท่าพิกัดทั้งคู่ 100 ฉาก–สวน–ตัดมุม / 102 บีบพื้นที่–คลินช์สั้น คุมเวลาปะทะ > ปริมาณ + ภาพจำท้ายยก

ต่างพิกัดตั้งต้นเพียง 2 ปอนด์อาจดูเล็กน้อยแต่มีนัยต่อ “เวลาปะทะ” ในวงใน เพชรบูรพาที่ 102 ควรใช้การบีบพื้นที่แบบเป็นชั้น กดให้แดงต้องถอยเส้นตรงแล้วปิดแฟรมสั้นด้วยเข่าตรงหรือศอกสั้นเพื่อย้ำผล ในทางกลับกัน เก้าโพธิ์แดงที่ 100 ต้องควบคุมความเร็วเกมให้ตนถนัด ฉาก–สวนแล้วรีเซ็ต ไม่ปล่อยให้คู่แข่งยึดวงในนานเกินไป การตัดมุมสองครั้งติดช่วยทำลายรางวิ่งของน้ำเงินและเพิ่มโอกาสให้หมัดตรงลงเป้าโดยไม่ถูกคล้อง

ความต่างจะชัดในยกปลาย หากน้ำเงินเร่งบี้จนการ์ดหลวม แดงที่ฉาก–สวนไวอาจดึงคะแนนกลับด้วยหมัดตรงหรือศอกเฉียงปลายยกได้ทันที แต่ถ้าแดงยอมให้ถูกเกาะติดและไม่รีเซ็ตพื้นที่ ภาพคุมเกมจะเป็นของน้ำเงิน การคุมเวลาปะทะจึงสำคัญกว่าปริมาณ การตัดสินใจ “เข้า–ออกเมื่อไร” จะเป็นตัวกำหนดว่าใครทิ้งภาพจำได้โดดเด่นกว่า

ตารางมวยไทยครบทุกคู่ พร้อมลิงก์ถ่ายทอดสดวันนี้! รวมทุกศึก ทุกสังเวียน ดูสดได้ในที่เดียว

คู่ที่ 5 – พิกัด 120 ปอนด์: เหนือพยัคฆ์ ศิษย์ปัณนา vs ลูกเขียด เพชร ปตอ.

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
120 ปอนด์ 120 120 เท่าพิกัดทั้งคู่ แลกสั้นคุณภาพ–เตะลำตัว–รีเซ็ตไว ความต่อเนื่องของงาน + คุมเวที

รุ่นกลางที่สมดุลทั้งแรงและสปีดบังคับให้สองมุมเน้น “งานสะอาดต่อเนื่อง” เหนือพยัคฆ์ควรย้ำเตะลำตัวเพื่อตัดลมหายใจลูกเขียดและบังคับให้กางการ์ดต่ำ ก่อนจี้หมัดตรงและรีเซ็ตเพื่อไม่เปิดช่องสวน ส่วนลูกเขียดต้องคุมเส้นทางก้าวเท้าให้กินพื้นที่ครึ่งก้าว รอจังหวะสวนจี้ตรงเมื่อแดงยืดตัว การแลกสั้นที่มีคุณภาพและการไม่ยืดคอมโบคือภาพที่กรรมการให้คะแนนชัดมากในรุ่นนี้

ตัวชี้ขาดคือ “ความต่อเนื่องของงาน” กับ “การคุมเวที” หากฝ่ายใดคุมกลางเวทีไว้ได้และไม่ปล่อยให้คู่แข่งได้ออกของฟรี คะแนนจะค่อย ๆ ไหลเข้าหา การปิดยกด้วยช็อตคมหนึ่งครั้งในทุกยกจะช่วยล็อกสกอร์ แม้ช่วงต้นยกจะสูสี การวางเพซให้สม่ำเสมอและไม่ตกหล่นวินัยการ์ดคือหลักประกันจนยกสุดท้าย

คู่ที่ 6 – พิกัด 135 ปอนด์: เพชรธีระ ก.วุฒิพงศ์ vs สารคาม ซุปเปอร์โปรสมุย

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
135 ปอนด์ 135 135 เท่าพิกัดทั้งคู่ คลินช์คุณภาพ–เข่าตรง–ศอกตัดจังหวะ แรงปลาย + การ์ดไม่ตกปลายยก

เมื่ออิมแพคเริ่มชัดในรุ่น 135 ปอนด์ บทบาทของวงในและศอกสั้นจะเพิ่มน้ำหนักต่อคะแนน เพชรธีระควรเดินค้ำแต่ต้น บีบพื้นที่ให้สารคามถอยเป็นเส้นตรงก่อนคล้องวงในและสอดเข่าตรง เพื่อบันทึกงานที่มีผลจริง ส่วนสารคามต้องรักษาระยะให้เหมาะสม ใช้การกอดสั้นแก้แรงปะทะแล้วดันออกมาสวนหมัดตรงหรือศอกเฉียงทันที เพื่อทำให้การเดินของแดงไม่ไหลต่อเนื่อง

ยกสามคือ “สนามสอบแรงปลายและการ์ด” อย่างแท้จริง หากฝ่ายใดเร่งจนล้าแล้วการ์ดตก โอกาสโดนศอกสวนหรือหมัดตรงจะสูงและอาจชี้ชะตายกนั้นทันที การแบ่งจังหวะทำงานเป็นแฟรมสั้น ๆ และปิดการ์ดทุกครั้งช่วยรักษาความคมให้คงที่จนจบไฟท์ ผู้ที่ยังวางช็อตมีผลจริงปลายยกได้จะถือไพ่เหนือกว่าในการตัดสิน

คู่ที่ 7 – พิกัด 132 ปอนด์: จอมเดช ไซรัสยิม vs ฉายตะวัน บุญลานนามวยไทย

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
132 ปอนด์ 132 132 เท่าพิกัดทั้งคู่ คุมกลางเวที–ไม่ถอยเส้นตรง–สวนจังหวะสอง ช็อตชัด/ภาพจำท้ายยก

นี่คือคู่สมดุลที่ต้องอาศัย “ความนิ่ง” และ “ความคม” เป็นตัวแยกผล จอมเดชควรยืนคุมศูนย์กลางเวที บังคับให้ฉายตะวันเข้าสู่เลนโจมตีที่อ่านทางได้ แล้วใช้หมัดตรงและเตะลำตัวเพื่อสะสมแต้ม สลับศอกสั้นเมื่อประชิด ส่วนฉายตะวันต้องใช้จังหวะสองเป็นอาวุธหลัก รอวินาทีที่อีกฝ่ายเพิ่งปล่อยชุดแล้วสวนด้วยช็อตสะอาดก่อนรีเซ็ตระยะ การไม่ถอยเส้นตรงและการตัดมุมคือเครื่องป้องกันการถูกบีบจนเสียพื้นที่

ผลคะแนนจะเอนเข้าไปหาฝ่ายที่ “ปิดยกให้มีภาพ” ได้บ่อยครั้งกว่า การทิ้งหมัดตรงหรือศอกสั้นหนึ่งครั้งที่ทำให้หยุดจะคูณน้ำหนักมากกว่าการแลกชุดยาวที่ไม่สะอาด เมื่อรวมกับการคุมกลางเวทีและวินัยการ์ด คู่นี้จะคลี่คลายด้วยรายละเอียดที่เล็กแต่เฉียบคมในทุกยก

คู่ที่ 8 – พิกัด 122 ปอนด์: บิลลาดิน ส.พูลสวัสดิ์ vs อัญชัน เจพาวเวอร์รูฟภูเก็ต

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะ โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
122 ปอนด์ 122 122 เท่าพิกัดทั้งคู่ ตั้งเตะคั่น–หนึ่งสอง–แลกสั้นเน้นผลจริง คุมระยะ > ปริมาณ + ภาพปิดยก

ไฟท์ปิดรายการจะกลับสู่เกมเร็วและการฉาบฉวยที่วัดกันด้วยความคมของช็อต บิลลาดินควรตั้งเตะคั่นหยุดเกียร์ของอัญชันแล้วสอดหมัดตรงหนึ่ง–สองจบสั้น ๆ เพื่อบันทึกแต้ม ก่อนรีเซ็ตเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดช่องสวน ในทางกลับกัน อัญชันต้องใช้การอ่านไลน์ให้ว่องไว จับจังหวะสวนในคาบเดียวกันกับที่แดงกำลังถอนตัว พร้อมปิดการ์ดทุกครั้งเพื่อไม่ให้โดนศอกย้อน การแลกสั้นที่มีผลจริงและไม่ยืดคอมโบคือรูปแบบที่กรรมการมองเห็นความคมชัดมากที่สุดในรุ่นนี้

สิ่งที่ห้ามพลาดคือ “ภาพปิดยก” หากฝ่ายใดทิ้งช็อตคมหนึ่งครั้งในช่วงท้ายได้สม่ำเสมอ เกมรวมจะไหลเข้าหาโดยไม่จำเป็นต้องออกเยอะกว่า การคุมระยะกลางและการไม่ติดเชือกเป็นเกราะสำคัญ เพราะช่วยให้ชุดสวนมีพื้นที่ทำงานและลดโอกาสโดนบวกในมุมอับ ผู้ที่รักษาวินัยการ์ดจนวินาทีสุดท้ายจะเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าในไฟท์นี้

ภาพรวมแนวโน้มและโฟลว์ของรายการ

เมื่อเรียงตามลำดับคู่จะพบว่าโครงสร้างงานถูกออกแบบให้ไต่จากความเร็วสูงในรุ่น 100 ปอนด์ ไปสู่สมดุลแรง–เทคนิคที่ 104 และ 120 ปอนด์ ขยับสู่พิกัดหนักที่อิมแพคชัดใน 135–132 ปอนด์ แล้วปิดงานด้วย 122 ปอนด์ซึ่งคืนสู่เกมเร็วแบบแลกสั้น ภายใต้กรอบ “เท่าพิกัดทั้งการ์ด” ปัจจัยชี้ขาดคือ (1) การคุมเวทีและตัดมุมอย่างมีวินัย (2) คุณภาพของช็อตที่ทำให้หยุดหรือเสียสมดุลจริง และ (3) ภาพจำช่วงท้ายยกที่ชัดเจน หากจับสัญญาณเหล่านี้ได้ตั้งแต่กลางไฟท์ คุณจะคาดทิศทางคะแนนได้อย่างใกล้เคียงผู้ตัดสิน และสนุกกับการวิเคราะห์แทคติกระหว่างชมมากยิ่งขึ้น

คำแนะนำการใช้งานระหว่างดูสดคือ เปิดตารางรวมค้างไว้เพื่อเช็กพิกัดและคู่ต่อไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเลื่อนไปยังตารางย่อยรายคู่เพื่อทบทวน “โฟกัสแทคติก” และ “ปัจจัยตัดสิน” ก่อนเสียงระฆัง การประยุกต์สิ่งที่เห็นจริงบนเวทีกับกรอบวิเคราะห์ เช่น การคืนการ์ดหลังคอมโบ การไม่ถอยเส้นตรง และการสร้างช็อตปิดยก จะช่วยเพิ่มอรรถรสและทำให้การติดตามศึกมวยดีวิถีไทยในช่วงบ่ายวันอาทิตย์นี้สนุกและมีส่วนร่วมมากขึ้นอย่างชัดเจน