คืนวันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เวทีมวยราชดำเนินพร้อมระเบิดศึก “ท่อน้ำไทยเกียรติเพชรทีเคโอ” ตั้งแต่เวลา 18:00 น. เป็นต้นไป โดยไฟท์การ์ดจัดมา 5 คู่ครบเครื่องทั้งเกมเชิงและเกมบู๊ ครอบคลุมพิกัด 103–138 ปอนด์ ซึ่งเป็นช่วงน้ำหนักที่ผสมผสานความเร็ว ความคม และแรงปะทะอย่างสมดุล ผลชั่งจริงส่วนใหญ่ “ใกล้พิกัด” ภายในช่วง ±0.7 ปอนด์ สะท้อนว่าการตัดสินจะพึ่งพาคุณภาพของช็อตที่มีผลจริง (Effective Strikes) วินัยการ์ด–สวน และ “ภาพปิดยก” เป็นพิเศษ มากกว่าปริมาณการออกอาวุธเพียงอย่างเดียว บทความนี้รวบรวมตารางประกบคู่และวิเคราะห์เชิงแทคติกแบบอ่านง่าย ใช้งานได้จริงระหว่างรับชมถ่ายทอดสดหรือเช็กข้อมูลหน้างาน

เพื่อให้ผู้อ่านอ่านเกมได้แม่นยำ เราวางกรอบประเมิน 3 มิติที่กรรมการมักพิจารณาในไฟท์สูสี ได้แก่ การคุมเวทีและตำแหน่งยืน เช่น ยึดกลางเวที ตัดมุม บังคับเลนโจมตี ความคมและผลจริงของอาวุธหลักอย่างหมัดตรง เตะลำตัว และศอกสั้น โดยเฉพาะช็อตที่ทำให้อีกฝ่ายหยุดหรือเสียสมดุล และ ช่วงท้ายยกหรือ “ภาพจำก่อนระฆัง” ที่ช่วยล็อกคะแนนในยกนั้น ๆ นอกจากนี้เรายังถอดรหัส “น้ำหนักชั่ง” ให้เห็นแนวโน้มกลยุทธ์ เช่น ฝ่ายที่เกินเล็กน้อยมักยืนชนแน่นขึ้นในวงใน แต่ต้องคุมความล้า ขณะที่ฝ่ายที่ขาดเล็กน้อยจะฉาก–สวนว่องไว ทว่าแต่ละช็อตต้องมีผลจริงจึงจะขึ้นสกอร์ชัดเจน

โปรแกรมศึกท่อน้ำไทย 9 พ.ย. 2568 | เวทีราชดำเนิน 18:00 น. รวมคู่เด่น เกียรติเพชรทีเคโอ วิเคราะห์ก่อนชก

ลำดับ ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน พิกัด (ปอนด์) ชั่งจริง (แดง/น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก หมายเหตุเชิงแทคติก
คู่ที่ 1 ฉลามเพชร ป.ปลื้มยิมส์ เพชรสองคม ก.อดิศร 123 123.3 / 123.7 เกิน 0.3 / เกิน 0.7 แลกสั้น–ปิดการ์ดไว วัดการ์ดช่วงล้าและภาพปิดยก
คู่ที่ 2 คม คมกริชก่อสร้าง จงอางดำ สิงห์มาวิน 103 102.9 / 102.9 ขาด 0.1 / ขาด 0.1 สปีดจัด ชิงจังหวะสอง ตัดมุมไม่ถอยเส้นตรง
คู่ที่ 3 เพชรบ้านไร่ สิงห์มาวิน สกลพัทธ โชติบางแสน 112 112.5 / 112.0 เกิน 0.5 / เท่า หนักเฉียด ๆ vs นิ่งเชิง วัดแรงปลาย–คุมเชือก
คู่ที่ 4 มงคลเดชเล็ก ภ.พิมพ์อร รุ่งแสงตะวัน ส.พาราษฎร์ 138 138.4 / 138.0 เกิน 0.4 / เท่า อิมแพคชัด วงใน–เข่าตรง–ศอกสั้นชี้ผล
คู่ที่ 5 เมฆพยัคฆ์ หยกขาวมวยไทย ชาตินักรบ รร.กีฬาแม่สอด 124 124.03 / 124.0 เกิน ~0.03 / เท่า สมดุลสูง คุมระยะกลาง–ภาพจำท้ายยก

ตารางรวมชี้ว่าไฟท์การ์ดค่ำนี้มีสมดุลของ “มวล–สปีด–เทคนิค” ที่น่าติดตาม โดยคู่เปิด 123 ปอนด์ทั้งสองฝ่ายเกินเล็กน้อย สื่อถึงเกมบวกสั้นที่อิมแพคอยู่ในระดับรับรู้ได้ชัด ขณะที่คู่ 103 ปอนด์ขาดเท่ากันส่งสัญญาณว่าโทนจะเร็วและฉับไวเป็นพิเศษ ย้ายขึ้นสู่ 112 ปอนด์ ฝ่ายแดงเกิน 0.5 ปอนด์น่าจะยืนชนได้แน่นขึ้น แต่ต้องคุมความล้าปลายยกเพราะน้ำเงินเท่าพิกัดมีโอกาสฉกจังหวะสองได้คม ส่วน 138 ปอนด์คือพิกัดที่อิมแพคครองเวทีและวงในเป็นตัวแปรหลัก ปิดท้าย 124 ปอนด์ที่ใกล้เท่าพิกัดสมบูรณ์ จึงวัดกันด้วยความละเอียดของการคุมระยะและภาพปิดยกมากเป็นพิเศษ

เลนส์การให้คะแนนที่ควรเก็บเข้ากล้องส่องตลอดรายการ ได้แก่ การยึดกลางเวทีและการตัดมุมเพื่อบีบคู่แข่งให้ออกจากโซนปลอดภัย การคืนการ์ดทันทีหลังคอมโบเพื่อลดช่องสวน ช็อตมีผลจริงอย่างหมัดตรงสะอาด เตะลำตัวที่ทำให้ชะงัก หรือศอกสั้นในจังหวะประชิด และ “ภาพจำช่วงท้ายยก” ที่มักทิ้งอิมแพคในใจกรรมการเหนือการนับปริมาณ การที่คู่ส่วนใหญ่ใกล้พิกัดมากทำให้รายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้คือปัจจัยที่พลิกคะแนนได้ทุกเมื่อ

คู่ที่ 1 – พิกัด 123 ปอนด์: ฉลามเพชร ป.ปลื้มยิมส์ vs เพชรสองคม ก.อดิศร

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
123 ปอนด์ 123.3 123.7 แดงเกิน 0.3 / น้ำเงินเกิน 0.7 0.4 ปอนด์ (น้ำเงินหนักกว่า) แลกสั้น–ปิดการ์ด–เตะลำตัว/หมัดตรง/ศอกสวน การ์ดช่วงล้า + ภาพปิดยกสม่ำเสมอ

น้ำหนักชั่งที่เกินเล็กน้อยทั้งสองมักขับเคลื่อนให้ไฟท์เน้น “แลกสั้นและคม” มากกว่ายืดคอมโบยาว ฉลามเพชรควรใช้เตะลำตัวและหมัดตรงเป็นตัวนำเพื่อสะกิดลมหายใจของฝ่ายน้ำเงิน แล้วค่อยเข้าหาศอกสั้นในระยะประชิดที่ควบคุมความเสี่ยงได้ ส่วนเพชรสองคมที่หนักกว่านิดเดียวควรทำเกมบีบพื้นที่ให้คู่แข่งถอยเป็นเส้นตรงก่อนจุดระเบิดเป็นแฟรมสั้น ๆ และรีบปิดการ์ดทันที การวางตำแหน่งเท้าให้เหนือกว่าครึ่งก้าวจะทำให้การเปิด–ปิดชุดเกิดในเงื่อนไขที่ตัวเองกำหนด ลดโอกาสโดนสวนคมกลับมา

จุดตัดสินของคู่นี้อยู่ที่ “การ์ดช่วงล้า” และ “ภาพปิดยกที่สม่ำเสมอ” เมื่อเข้าสู่ยกสอง–สาม หากฝ่ายใดปล่อยให้การ์ดหลวมหลังแลกชุด การสวนด้วยศอกเฉียงหรือหมัดตรงจะขึ้นสกอร์ทันที การเก็บภาพจำหนึ่งครั้งในช่วง 10–15 วินาทีสุดท้ายของทุกยกจะสะสมคะแนนได้มากกว่าโจมตียาวที่ไม่เข้าเป้า ดังนั้นการจัดลำดับอาวุธแบบเริ่มก่อน–จบก่อนและการรักษาระยะให้พอเหมาะคือสูตรสำเร็จของไฟท์เปิดรายการ

คู่ที่ 2 – พิกัด 103 ปอนด์: คม คมกริชก่อสร้าง vs จงอางดำ สิงห์มาวิน

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
103 ปอนด์ 102.9 102.9 ขาด 0.1 / ขาด 0.1 0.0 ปอนด์ ตั้งเตะคั่น–หนึ่งสองเร็ว–ตัดมุมต่อเนื่อง ความแม่นจังหวะสอง + ไม่ถอยเส้นตรง

เมื่อทั้งสองชั่งขาดเท่ากันเล็กน้อย เกมจะเร็วและฉับไวเป็นพิเศษ จุดเริ่มที่ดีคือ “ตั้งเตะคั่น” เพื่อหยุดจังหวะของคู่ต่อสู้ก่อนสอดหมัดหนึ่ง–สองที่ลงเป้าสะอาด จากนั้นรีเซ็ตระยะทันทีเพื่อลดโอกาสโดนสวน การ “ตัดมุม” ซ้ำสองครั้งติดจะบังคับให้คู่แข่งถอยเส้นตรง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพื้นที่และเวลาของอีกฝ่ายกำลังถูกยึดครอง ก่อนจะตามด้วยช็อตคมสั้น ๆ เพื่อย้ำผล แพตเทิร์นนี้ใช้ได้กับทั้งคมและจงอางดำ แต่อยู่ที่ใครทำได้สม่ำเสมอและแม่นยำกว่ากัน

หัวใจตัดสินคือ “จังหวะสองที่แม่น” และ “ไม่ถอยเส้นตรง” หากฝ่ายใดเผลอถอยตามแนวเชือกโดยไม่หมุนตัวออกด้านข้าง จะเปิดช่องให้โดนบวกในมุมอับและเสียภาพคุมเวทีทันที การเซฟความเสี่ยงจึงต้องใช้ฟุตเวิร์กคม ๆ และคืนการ์ดให้ไวหลังทุกชุด ปิดยกด้วยช็อตสะอาดหนึ่งครั้งในช่วงท้ายจะทำให้คะแนนเอนทันทีแม้ช่วงต้นยกจะสูสี

คู่ที่ 3 – พิกัด 112 ปอนด์: เพชรบ้านไร่ สิงห์มาวิน vs สกลพัทธ โชติบางแสน

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
112 ปอนด์ 112.5 112.0 แดงเกิน 0.5 / น้ำเงินเท่า 0.5 ปอนด์ (แดงหนักกว่า) แดงเดินค้ำ–คลินช์คุณภาพ / น้ำเงินฉาก–สวน–รีเซ็ต รีไฮเดรชัน–แรงปลาย–คุมเชือก

เพชรบ้านไร่เกิน 0.5 ปอนด์ ช่วยให้แรงปะทะในวงในแน่นขึ้นเล็กน้อย โครงเกมที่เหมาะคือเดินค้ำเป็นชั้น ๆ แล้วคลินช์คุณภาพด้วยเข่าตรงสอดศอกสั้นตัดจังหวะ เพื่อไม่ให้สกลพัทธตั้งหลักระยะกลาง ส่วนสกลพัทธเท่าพิกัดต้องใช้ความนิ่งเชิง ฉาก–สวนในจังหวะสองด้วยหมัดตรงหรือเตะลำตัว แล้วรีเซ็ตระยะทันทีไม่ยืดแลกยาว การเลี้ยงระยะกลางไว้คือการลดเวลาปะทะที่คู่ต่อสู้ถนัดและเป็นการสร้างภาพคุมเวทีไปพร้อมกัน

คำตอบของไฟท์นี้อยู่ที่ “แรงปลาย” และ “การคุมเชือก” หากเพชรบ้านไร่บุกต่อเนื่องจนล้าและการ์ดตกในยกปลาย สกลพัทธมีช่องฉกแต้มด้วยช็อตคมก่อนระฆัง แต่ถ้าสกลพัทธถอยจนติดเชือกบ่อยครั้ง ภาพคุมเกมจะเอนไปหาแดงทันที การรีไฮเดรชันที่ดีและการบริหารเพซจึงสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวแยกผลระหว่างการเดินค้ำมีผลจริงกับการเดินที่สูญแรงโดยไม่ก่อสกอร์

ตารางมวยไทยครบทุกคู่ พร้อมลิงก์ถ่ายทอดสดวันนี้! รวมทุกศึก ทุกสังเวียน ดูสดได้ในที่เดียว

คู่ที่ 4 – พิกัด 138 ปอนด์: มงคลเดชเล็ก ภ.พิมพ์อร vs รุ่งแสงตะวัน ส.พาราษฎร์

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
138 ปอนด์ 138.4 138.0 แดงเกิน 0.4 / น้ำเงินเท่า 0.4 ปอนด์ (แดงหนักกว่า) เข่าตรง–ศอกสั้น–บีบพื้นที่ / น้ำเงินลดเวลาปะทะ การ์ดไม่ตกปลายยก + ช็อตปิดยก

พิกัด 138 ปอนด์ให้ภาพ “อิมแพคชัด” และวงในมีน้ำหนักต่อคะแนนสูง มงคลเดชเล็กควรเดินบี้แบบเป็นระบบ บีบพื้นที่ให้รุ่งแสงตะวันถอยเป็นเส้นตรงแล้วใช้เข่าตรงและศอกสั้นขยี้จังหวะ พร้อมตัดทางหลบด้วยการตัดมุมเพื่อลดช่องว่างการหนี ส่วนรุ่งแสงตะวันเท่าพิกัดต้องใช้น้ำหนักเทคนิคเพื่อลดเวลาปะทะ ประคองระยะกลางให้มากที่สุดและเลือกสวนคมเฉพาะจังหวะได้เปรียบ ก่อนรีเซ็ตระยะทันทีเพื่อไม่ให้ถูกเกาะติดจนเสียแต้มยาว

จุดตัดสินคือ “การ์ดช่วงปลายยก” กับ “ช็อตปิดยก” หากแดงเร่งเพซมากไปจนหลวม การสวนด้วยศอกเฉียงหรือหมัดตรงของน้ำเงินจะทำให้ภาพคะแนนเปลี่ยนทันที ในทางกลับกัน หากน้ำเงินปล่อยให้ถูกกดติดเชือกแล้วไม่รีเซ็ตพื้นที่ ภาพการคุมเกมจะเป็นของแดงอย่างเด่นชัด ไฟท์นี้จึงชี้ขาดที่สมดุลระหว่างแรงปะทะกับความนิ่งในการเลือกแลก โดยผู้ที่รักษาวินัยเกมรับ–สวนได้ดีกว่าจะเป็นฝ่ายยืนเหนือเมื่อครบยก

คู่ที่ 5 – พิกัด 124 ปอนด์: เมฆพยัคฆ์ หยกขาวมวยไทย vs ชาตินักรบ รร.กีฬาแม่สอด

พิกัด ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก ส่วนต่าง โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
124 ปอนด์ 124.03 124.0 แดงเกิน ~0.03 / น้ำเงินเท่า ≈0.03 ปอนด์ (แทบเท่ากัน) แลกสั้นคุณภาพ–คุมระยะกลาง–ตั้งงานแล้วรีเซ็ต คุมเวทีต่อเนื่อง + ภาพจำท้ายยก

น้ำหนักชั่งแทบเท่ากันทำให้เกมนี้วัดกันด้วยรายละเอียดล้วน ๆ เมฆพยัคฆ์ควรยึดระยะกลางเป็นหลัก ใช้แย็บและเตะลำตัวเปิดงานก่อนจี้หมัดตรงสั้น ๆ เพื่อสะสมแต้ม จากนั้นรีเซ็ตระยะลดความเสี่ยงถูกสวน ขณะที่ชาตินักรบต้องวางตำแหน่งยืนให้เหนือกว่าครึ่งก้าว รอช็อตสวนในจังหวะที่แดงยืดตัว โดยเฉพาะศอกสั้นในคาบเดียวกับการดึงตัวออกซึ่งมองเห็นได้ชัดในสายตากรรมการ การยืดคอมโบโดยไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง เพราะเปิดช่องให้โดนสวนที่มีน้ำหนักทางสายตาสูง

ตัวชี้ขาดคือ “การคุมเวทีต่อเนื่อง” และ “ภาพจำท้ายยก” หากฝ่ายใดบังคับเลนการเคลื่อนของคู่ต่อสู้ได้ตลอดยก และมีช็อตคมหนึ่งครั้งก่อนระฆังในทุกยก คะแนนจะค่อย ๆ เทเข้าหาฝ่ายนั้นแม้ปริมาณรวมใกล้เคียงกัน การคืนการ์ดทันทีหลังคอมโบและไม่ถอยเป็นเส้นตรงคือเงื่อนไขสำคัญที่จะล็อกสกอร์ของคู่นี้ให้ปลอดภัยถึงยกสุดท้าย

ภาพรวมแนวโน้มและโฟลว์ของรายการ

เมื่อมองทั้งห้าคู่ร่วมกันจะเห็นโครงสร้างรายการที่ค่อย ๆ ไต่จากโทนเกมบวกสั้นและเร็วในพิกัด 123 ปอนด์ ไปสู่ความฉับไวขั้นสูงของคู่ 103 ปอนด์ ต่อด้วย 112 ปอนด์ที่ชั่ง “เกิน vs เท่า” ทำให้เกิดเกมหนักปะทะปะทะความนิ่งเชิง แล้วขยายไปสู่จุดพีกด้านอิมแพคที่พิกัด 138 ปอนด์ ก่อนจะผ่อนกลับสู่ความละเอียดเชิงแทคติกในไฟท์ปิดที่ 124 ปอนด์ แนวลมหายใจของรายการจึงมีทั้งจังหวะย้ำช็อตคม การคุมเวทีแบบละเอียด และการวัดแรงปลายในช่วงท้าย ครอบคลุมรสชาติของมวยไทยครบถ้วนในคืนเดียว โดยแฟนมวยจะอ่านคะแนนได้ชัดขึ้นหากจับสัญญาณ “ตัดมุม–ไม่ถอยเส้นตรง”, “คืนการ์ดไว”, “ช็อตมีผลจริง”, และ “ภาพปิดยก” อย่างต่อเนื่องในทุกคู่

สำหรับการใช้งานหน้างานหรือระหว่างดูสด แนะนำให้เปิดตารางรวมควบคู่กับตารางย่อยรายคู่เพื่อเช็กพิกัด–ชั่งจริง–สถานะน้ำหนักอย่างรวดเร็ว แล้วไล่อ่านบทวิเคราะห์สั้น ๆ เพื่อเตือนว่าคู่ใดควรจับตาวงใน คู่ใดควรจับตาจังหวะสอง หรือคู่ใดต้องเน้นแรงปลายและการ์ดช่วงล้า ความเข้าใจบริบทเหล่านี้จะทำให้การรับชมสนุก มีส่วนร่วม และใกล้เคียงวิธีคิดของกรรมการมากขึ้น พร้อมช่วยให้ผู้อ่านคาดการณ์กระแสคะแนนได้แม่นตั้งแต่กลางไฟท์จนสิ้นเสียงระฆัง