ศึกมวยไทยพลังใหม่กลับมาเขย่าบรรยากาศราชดำเนินอีกครั้งในค่ำวันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 18:00 น. เป็นต้นไป โดยไฟท์การ์ดครั้งนี้จัดแน่นถึง 9 คู่ ครอบคลุมพิกัดตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นกลาง พร้อมรายชื่อค่ายดังและนักสู้ที่แฟนมวยคุ้นหูคุ้นตา จุดเด่นคือความหลากหลายของรูปแบบการชก ทั้งมวยเชิง มวยบู๊ และสายฉาบฉวยที่ถนัดชิงจังหวะ ให้ผู้ชมได้ลุ้นตั้งแต่เสียงระฆังดังขึ้นจนจบยกสุดท้าย หน้าเพจนี้จัดโปรแกรมครบถ้วนพร้อมตารางประกอบทุกคู่ และเสริมด้วยบทวิเคราะห์เชิงแทคติกที่อธิบายผลของตัวเลขชั่งน้ำหนักต่อเกมจริง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเส้นเรื่องการแข่งขันมากขึ้นก่อนรับชม

ลำดับการชกถูกออกแบบให้ไต่ระดับความเข้มข้นทีละขั้น เริ่มจากพิกัดที่เน้นสปีดและความคล่องตัว ค่อย ๆ ขยับสู่พิกัดที่แรงปะทะเด่นชัดและต้องบริหารแรงปลายมากขึ้น ภาพรวมจึงเป็นการผสานทั้งศิลปะและความดุดันของมวยไทยในคืนเดียว ข้อมูลชั่งน้ำหนักจริงที่ระบุสถานะ “เกิน/ขาด/เท่า” จะช่วยให้ประเมินแนวโน้มเกมล่วงหน้าได้ดีขึ้น เช่น นักชกที่เกินเล็กน้อยมักรับแรงชนได้แน่นกว่า ส่วนผู้ที่ขาดมักเคลื่อนที่พลิ้วและสวนกลับไว อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์สุดท้ายยังขึ้นกับวินัยการ์ด การคุมพื้นที่กลางเวที และการปิดยกด้วยอาวุธที่มีผลจริง ซึ่งเราจะค่อย ๆ สรุปให้เห็นภาพในบทวิเคราะห์รายคู่ถัดไป

โปรแกรมมวย ศึกมวยไทยพลังใหม่ ราชดำเนิน | วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เวลา 18:00 น.

ตารางประกบคู่รวม

ลำดับคู่ ฝ่ายแดง (ค่าย/สังกัด) ฝ่ายน้ำเงิน (ค่าย/สังกัด) พิกัด ชั่งจริง (แดง/น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก หมายเหตุ
คู่ที่ 1 เหงียนธานดั๊ก (สวนจากคาเฟ่) ซุปเปอร์บาส (พญาหนอนยิม) 126 126.8 / 126.2 เกิน 0.8 / เกิน 0.2 สองฝ่ายเกินเล็กน้อย เกมแรงปะทะเด่น
คู่ที่ 2 อาเมียร์ (จ.เมืองศรี) เทพมาวิน (ฮอนเนอร์มวยไทย) 142 137.3 / 144.2 ขาด 4.7 / เกิน 2.2 ต่างชัด “เร็ว vs หนัก”
คู่ที่ 3 ธงไทย (พีเค.แสนชัยมวยไทยยิม) เพชรจั๊กจั่น (ช.ห้าพยัคฆ์) 118 118.4 / 118.4 เกิน 0.4 / เกิน 0.4 น้ำหนักเท่ากันเป๊ะ วัดแทคติก
คู่ที่ 4 เด่นพยัคฆ์ (ส.สมหมาย) ใจเพชร (สิงห์มาวิน) 137 136.3 / 137.8 ขาด 0.7 / เกิน 0.8 คล่อง vs หนัก วงในมีผลมาก
คู่ที่ 5 ซอซาบุโดะมุ (ป.สองแผ่นดิน) บาสเตียน (ส.บุญมีฤทธิ์) 133 132.9 / 133.8 ขาด 0.1 / เกิน 0.8 เกมละเอียด วัดความคม
คู่ที่ 6 เอตั้น (ลูกสวน) เพชรสยาม (เพชรนิลเกตุ) 131 131.3 / 133.5 เกิน 0.3 / เกิน 2.5 น้ำเงินอิมแพคเด่น ต้องบริหารแรง
คู่ที่ 7 โล่เงิน (กรวยในเมืองยิม) วันชนะ (ช.ห้าพยัคฆ์) 133 133.6 / 133.2 เกิน 0.6 / เกิน 0.2 สมดุลแรง–เทคนิค
คู่ที่ 8 ขุนพลเอิร์ธ (ส.สมหมาย) เพชรเจ้าพระยา (ศิษย์กำนันเหน่ง) 124 127.2 / 123.9 เกิน 3.2 / ขาด 0.1 แรงชนแดง vs คล่องน้ำเงิน
คู่ที่ 9 โมฮ็อค (เงาะบางกะปิ) โล่ทอง (กรวยในเมืองยิม) 139 138.2 / 140.1 ขาด 0.8 / เกิน 1.1 บี้–สวน วัดการปิดยก

ตารางรวมด้านบนชี้ให้เห็นความต่างของสถานะน้ำหนักที่มีผลต่อแผนการชกอย่างเป็นรูปธรรม นักชกที่เกินเล็กน้อยโดยมากจะยืนปะทะได้มั่นคง รับแรงชนได้ดี ส่วนผู้ที่ชั่งขาดเล็กน้อยมักมีความคล่องตัวสูง ขยับฉีกมุมแล้วสวนกลับได้ไวกว่า แม้กระนั้น “ตัวเลขชั่ง” ไม่ได้นิยามผลคะแนนโดยตรง เพราะภาพรวมการให้คะแนนยังพิจารณาความคมของอาวุธ ตำแหน่งยืนที่เหนือกว่า การคุมพื้นที่กลางเวที และคุณภาพการปิดยก หากฝ่ายหนึ่งสามารถทำให้อีกฝ่ายเสียสมดุลซ้ำ ๆ หรือมีช็อตอิมแพคชัดในช่วงท้ายยก ภาพคะแนนจะเทมาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเราจะไล่พิจารณาให้ลึกยิ่งขึ้นในบทวิเคราะห์รายคู่อย่างเป็นระบบถัดไป

คู่ที่ 1 – พิกัด 126 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
126 126.8 126.2 แดงเกิน 0.8 / น้ำเงินเกิน 0.2 คุมกลางเวที ตั้งเตะหยุดเกม สวนหมัดตรง การคืนการ์ดและช็อตคมท้ายยก

เหงียนธานดั๊กกับซุปเปอร์บาสต่างชั่งเกินเล็กน้อย ทำให้รูปเกมมีแนวโน้มเน้นแรงปะทะและความหนาแน่นของการยืนแลกมากขึ้น ฝ่ายแดงควรเริ่มด้วยการคุมพื้นที่กลางเวที ใช้เตะยาวและแย็บเปิดทางเพื่อบังคับน้ำเงินให้เข้าทำผ่านเลนคาดเดาได้ ขณะที่น้ำเงินต้องชิงจังหวะสวนหมัดตรงในวินาทีกลับตัว และไม่ยืนนานจนเปิดโอกาสให้โดนศอกสั้นในระยะประชิด หากใครสร้างแพตเทิร์นเข้า–ออกที่อ่านยากพร้อมตั้งการ์ดแน่นหลังปล่อยคอมโบ จะกุมความได้เปรียบทางภาพคะแนนตั้งแต่ยกแรก

เมื่อเข้าสู่กลางยก การเปลี่ยนจังหวะจากตั้งรับเป็นสวนกลับคือหัวใจสำคัญ หากแดงเร่งคอมโบยาวโดยไม่ปิดจังหวะด้วยเตะยาว น้ำเงินสามารถสวนเข้าลำตัวแล้วสับศอกเฉียงได้ทันที การให้คะแนนจะเอนตามความคมชัดของอาวุธและการปิดยกที่มีผลจริง ช็อตชัดครั้งท้ายยก ไม่ว่าจะเป็นหมัดตรงสะอาดหรือเตะตัดล่างจนเสียหลัก จะช่วยล็อกสายตากรรมการได้ดี ปลายไฟท์ฝ่ายที่ยังรักษาความนิ่งและวินัยการ์ดจะเป็นผู้มีโอกาสชูมือมากกว่า

คู่ที่ 2 – พิกัด 142 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
142 137.3 144.2 แดงขาด 4.7 / น้ำเงินเกิน 2.2 เร็วฉาบฉวย vs เดินบดแรงปะทะ รีไฮเดรชันและแรงปลาย

อาเมียร์ชั่งขาดมากถึง 4.7 ปอนด์ ขณะที่เทพมาวินเกิน 2.2 ปอนด์ ทำให้เกมนี้สะท้อนภาพ “เร็ว vs หนัก” อย่างชัดเจน ฝ่ายแดงต้องใช้จุดเด่นเรื่องความคล่อง เข้า–ออกฉับไว ตัดมุมหลอกและปล่อยหมัดหนึ่ง–สองก่อนสลับเตะล่างเพื่อทำให้แรงปะทะของน้ำเงินสูญเปล่า ส่วนฝ่ายน้ำเงินควรเดินบดแบบมีวินัย ค่อย ๆ บีบพื้นที่ให้แดงเข้าเส้นตรง แล้วคุมวงในด้วยเข่าและศอกสั้นเพื่อสะสมอิมแพคจนภาพคะแนนเด่น หากน้ำเงินรีไฮเดรตได้ดีจะมีแรงชนและการยืนระยะที่มั่นคงในยกกลางถึงยกท้าย

จุดชี้ขาดอยู่ที่การบริหารแรงปลายและโอกาสสวนกลับในช่วงเปลี่ยนหน้า หากแดงหลุดตำแหน่งหรือเสียการ์ดเพียงวินาทีเดียว หมัดตรงหนัก ๆ ของน้ำเงินอาจชิงโมเมนตัมทันที ตรงกันข้าม หากน้ำเงินเดินมากเกินจนการ์ดตก แดงสามารถสับศอกเฉียงหรือทิ่มหมัดแย็บรักษาระยะแล้วฉีกออกข้างได้ เกมจึงวัดกันที่ความนิ่งและคุณภาพการเลือกอาวุธมากกว่าปริมาณ การปิดยกให้กรรมการเห็นผลจริงจะเอื้อต่อการเก็บยกสำคัญและผลรวมทั้งไฟท์

คู่ที่ 3 – พิกัด 118 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
118 118.4 118.4 แดงเกิน 0.4 / น้ำเงินเกิน 0.4 เกมเชิงสมดุล คุมจังหวะ–สวนคม การตัดมุมและภาพปิดยก

ธงไทยและเพชรจั๊กจั่นชั่งเกินเท่ากันที่ 0.4 ปอนด์ จึงเป็นคู่ที่วัดกันด้วยแทคติกและความละเอียดโดยแท้ ทั้งสองฝั่งควรเน้นความคมของอาวุธมากกว่าปริมาณ ธงไทยอาจคุมจังหวะด้วยแย็บนำและเตะยาว ขณะที่เพชรจั๊กจั่นเน้นสวนกลับในจังหวะสองด้วยหมัดตรงหรือศอกสั้นเมื่อคู่ต่อสู้คืนการ์ดช้า การยืนตำแหน่งกลางเวทีและทำให้คู่ต่อสู้เสียสมดุลแม้เล็กน้อย จะสร้างความรู้สึกเหนือกว่าในสายตากรรมการอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ต้องมองคือการปิดยกด้วยช็อตชัดหนึ่งครั้ง เช่น เตะลำตัวสะอาด หมัดตรงพุ่งเก็บ หรือศอกเฉือนที่ทำให้หยุดชะงัก หากฝ่ายใดทำได้อย่างสม่ำเสมอจะคุมคะแนนยกต่อยกได้ดี ยิ่งในไฟท์ที่ตัวเลขชั่งไม่ทิ้งห่าง การ์ดที่แน่น วินัยเท้า และการตัดมุมอย่างมีแบบแผน จะเป็นปัจจัยชี้ทางผลรวม ปลายไฟท์ผู้ที่ยังรักษาความนิ่งและไม่เผลอแลกโดยไม่จำเป็น จะถือความได้เปรียบในการชูมือ

คู่ที่ 4 – พิกัด 137 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
137 136.3 137.8 แดงขาด 0.7 / น้ำเงินเกิน 0.8 คล่องฉีกมุม vs เดินบี้วงใน คอนโทรลวงในและแรงปะทะ

เด่นพยัคฆ์ชั่งขาดเล็กน้อย ขณะที่ใจเพชรเกินเล็กน้อย ทำให้รูปเกมมีความหมายชัดในเชิง “คล่อง vs หนัก” ฝ่ายแดงต้องตัดมุมต่อเนื่อง อย่าปล่อยให้โดนปิดมุมจนถอยเส้นตรง ควรตั้งเตะหยุดเกมคั่นแล้วค่อยเปลี่ยนเลนเข้าหมัดสองหรือศอกย้อน ส่วนฝ่ายน้ำเงินต้องเดินบี้อย่างมีระบบ ใช้การกอดรัดควบคุมวงในและสอดเข่าตรงสะสมงาน เพื่อให้ภาพรวมดูเหนือกว่าในจังหวะปะทะ

การตัดสินจะเอนเข้าหาฝ่ายที่จัดการวงในได้เฉียบคมกว่า หากน้ำเงินคุมวงในได้ เด่นพยัคฆ์ต้องรีบหลุดจากเชือกด้วยฟุตเวิร์กและการ์ดที่ไม่เปิดช่อง ส่วนใจเพชรต้องระวังการสวนศอกในวินาทีที่เข้าประชิดมากเกิน ภาพปิดยกสำคัญมาก ช็อตที่ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักหรือหยุดชะงักจะย้ำคะแนนชัดเจน ปลายไฟท์ผู้ที่ยังรักษาแรงปลายและไม่พลาดเสียการ์ด จะเป็นผู้ยื่นใบสมัครชนะคะแนนได้เด่นกว่า

คู่ที่ 5 – พิกัด 133 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
133 132.9 133.8 แดงขาด 0.1 / น้ำเงินเกิน 0.8 ตั้งรับฉลาด–สวนคม vs เดินค้ำ–อิมแพค คุณภาพช็อตและภาพรวมคุมเกม

ซอซาบุโดะมุเป็นมวยหัวคิดที่คุมจังหวะดีและถนัดสวนกลับ ส่วนบาสเตียนมีแรงปะทะพอตัวและชอบเดินค้ำ เกมจะวัดกันที่ความคมของการสวนและความสามารถในการทำให้อีกฝ่ายเสียสมดุล หากแดงอ่านทางได้เร็วและสับศอกเฉียงทันทีที่น้ำเงินพุ่งเข้าชิด จะทำให้ภาพคะแนนเทมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่น้ำเงินต้องเดินด้วยการ์ดที่เหนียวแน่น ลดช่องเว้าเพื่อไม่เปิดโอกาสให้โดนสวนสะอาด

รายละเอียดที่ควรมองคือการปิดจังหวะหลังคอมโบ หากแดงปล่อยแล้วถอยออกพร้อมเตะยาวคั่น น้ำเงินจะไม่มีช่องสวนที่คม ส่วนถ้าน้ำเงินบีบให้แดงติดเชือกและป้อนเข่าตรงสม่ำเสมอ จะทำให้กรรมการเห็นงานสะสมชัด ปลายยกฝ่ายที่ยังรักษาคุณภาพช็อตและไม่ปล่อยให้โดนจับจังหวะง่าย ๆ จะได้เปรียบในการขึ้นคะแนนบนสกอร์การ์ด

คู่ที่ 6 – พิกัด 131 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
131 131.3 133.5 แดงเกิน 0.3 / น้ำเงินเกิน 2.5 สปีด–เข้าออกไว vs อิมแพคหนัก การบริหารแรงและการ์ดท้ายยก

เอตั้นเกินเพียง 0.3 ปอนด์ ขณะที่เพชรสยามเกินมากถึง 2.5 ปอนด์ ทำให้คาดหมายได้ว่าน้ำเงินจะมีแรงชนและการยืนรับแรงกระแทกที่หนากว่าเล็กน้อย ฝ่ายแดงจำเป็นต้องฉาบฉวยเข้า–ออกไว ตัดมุมแล้วปล่อยหมัดตรงหรือเตะตัดล่างก่อนรีบถอน เพื่อไม่ให้ถูกบีบวงใน ส่วนฝ่ายน้ำเงินต้องรักษาการ์ดและเดินคุมพื้นที่อย่างมีวินัย เมื่อระยะประชิดชัดเจนจึงค่อยปล่อยเข่าตรงและศอกสั้นเพื่อสะสมงาน

ช็อตวัดใจอยู่ในช่วงปลายยก หากน้ำเงินเดินมากจนการ์ดตก เอตั้นสามารถสวนหมัดตรงหรือศอกเฉียงให้เห็นผลได้ทันที แต่ถ้าแดงถอยเป็นเส้นตรงและไม่คืนงาน โอกาสโดนปิดมุมแล้วเสียแต้มจากชุดอาวุธวงในจะสูง ฝ่ายที่บริหารแรงปลายได้ดีกว่า โดยยังคงความคมของอาวุธและวินัยการ์ด จะเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าในการสะสมคะแนนรวมทั้งไฟท์

ตารางมวยไทยครบทุกคู่ พร้อมลิงก์ถ่ายทอดสดวันนี้! รวมทุกศึก ทุกสังเวียน ดูสดได้ในที่เดียว

คู่ที่ 7 – พิกัด 133 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
133 133.6 133.2 แดงเกิน 0.6 / น้ำเงินเกิน 0.2 สมดุลแรง–เทคนิค วัดคุณภาพช็อต คุมกลางเวทีและปิดยกคม

โล่เงินและวันชนะต่างชั่งเกินเล็กน้อย ทำให้เกมมีความสมดุลในเชิงแรงกับเทคนิค ทั้งสองฝั่งควรโฟกัสการคุมกลางเวทีและปิดยกให้เด่น โล่เงินอาจเน้นแย็บ–ตรงเปิดงานก่อนสอดเตะล่าง ตรงกันข้ามวันชนะอาจเล่นเกมสวนจังหวะสองและขยับเข้าวงในเมื่อมองเห็นช่องศอก หากใครทำให้คู่ต่อสู้เสียสมดุลต่อเนื่องและรักษาการ์ดเหนียวแน่น จะคุมภาพรวมคะแนนได้ดีกว่า

รายละเอียดการให้คะแนนในคู่สมดุลเช่นนี้อยู่ที่ “คุณภาพ” ของช็อตมากกว่าจำนวน หากการออกอาวุธของฝ่ายหนึ่งสร้างผลชัด เช่น ทำให้ถอยหรือหยุดชั่วขณะ จะมีน้ำหนักต่อสายตากรรมการมาก การตัดมุมเพื่อบังคับให้คู่ต่อสู้เข้าเลนที่คาดเดาได้และการไม่ปล่อยให้ถูกล็อกวงในโดยง่าย จะเป็นกุญแจสำคัญในการกุมทิศทางจนสิ้นเสียงระฆัง

คู่ที่ 8 – พิกัด 124 ปอนด์

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
124 127.2 123.9 แดงเกิน 3.2 / น้ำเงินขาด 0.1 แรงชนแดง vs คล่องน้ำเงิน รีคัฟเวอรี–การคืนงาน–ภาพปิดยก

ขุนพลเอิร์ธเกินถึง 3.2 ปอนด์ ขณะที่เพชรเจ้าพระยาขาดเพียง 0.1 ปอนด์ ภาพรวมจึงชัดว่าแดงน่าจะแน่นแรงชน ส่วนสีน้ำเงินคล่องและฉีกมุมไว แดงควรเดินคุมพื้นที่อย่างมีวินัย ไม่เร่งบ้าพลังจนการ์ดตก ส่วนน้ำเงินต้องใช้การสาดหมัดหนึ่ง–สองและเตะตัดล่างเพื่อทำให้แดงเสียศูนย์ ก่อนสับศอกในจังหวะที่คู่ต่อสู้ยื่นตัวมากเกินไป หากน้ำเงินเข้าทำแบบเข้า–ออกโดยไม่ยืนแลกนาน จะลดโอกาสโดนลูกหนักได้มาก

ตัวแปรสำคัญคือการรีคัฟเวอรีหลังชั่งของฝ่ายแดง หากฟื้นตัวได้ดีและยังวิ่งเครื่องไหลในยกสอง–สาม การเดินบดจะกดน้ำเงินให้เสียมุมแล้วเสียคะแนนสะสม แต่ถ้าแดงชะลอและปล่อยให้ยืนนานโดยไม่ทำงาน น้ำเงินจะมีจังหวะดึงเกมกลับด้วยช็อตคมท้ายยก การตัดสินจึงอยู่ที่ภาพปิดยกและความคมชัดของอาวุธมากกว่าปริมาณการออกหมัดเพียงอย่างเดียว

คู่ที่ 9 – พิกัด 139 ปอนด์ (คู่ปิดรายการ)

พิกัดทางการ ชั่งจริง (แดง) ชั่งจริง (น้ำเงิน) สถานะน้ำหนัก โฟกัสแทคติก ปัจจัยตัดสิน
139 138.2 140.1 แดงขาด 0.8 / น้ำเงินเกิน 1.1 บี้กดดัน vs สวนเข้าลำตัว–ศอกย้อน แรงปลายและการปิดยก

คู่ปิดรายการอย่างโมฮ็อคปะทะโล่ทองเป็นไฟท์ที่มีความดุดันสูง น้ำเงินเกิน 1.1 ปอนด์จึงคาดว่าจะมีแรงปะทะเด่นกว่าเล็กน้อย ขณะที่แดงขาด 0.8 ปอนด์ทำให้เคลื่อนที่คล่องและสวนกลับไว โมฮ็อคควรใช้การบี้กดดันแบบเป็นชั้น ๆ อย่าพุ่งตรงจนโดนสวน ส่วนโล่ทองต้องอ่านจังหวะสวนเข้าลำตัวและสับศอกย้อนเมื่อตัวแดงยื่นเกิน การควบคุมพื้นที่กลางเวทีและไม่ปล่อยให้ถูกดันติดเชือก คือเงื่อนไขของภาพคะแนนที่เหนือกว่า

จุดตัดสินอยู่ที่แรงปลายและภาพปิดยก หากน้ำเงินรักษาเพซเดินบี้ได้โดยที่การ์ดยังเหนียวแน่น จะกดให้แดงเสียพื้นที่และแต้มสะสมเข้าตน แต่ถ้าแดงดึงจังหวะและสวนคมในช่วงท้ายยกจนอีกฝ่ายชะงัก ภาพรวมจะกลับมาสูสีทันที เกมนี้จึงเป็นบททดสอบวินัยเกมรับและความนิ่งในการตัดสินใจในสถานการณ์กดดัน ฝ่ายที่ไม่หลุดสมาธิและคงคุณภาพช็อตได้ตลอดสามยก จะมีภาษีดีกว่าในการชูมือ

ภาพรวมแนวโน้มและโฟลว์ของรายการ

จากผลชั่งน้ำหนักและรูปแบบการประกบคู่ทั้งหมด ไฟท์การ์ดครั้งนี้มีความหลากหลายชัดเจนในเชิงสไตล์และพิกัดช่วง 118–142 ปอนด์ ฝ่ายที่ชั่งเกินเล็กน้อยจะได้เปรียบเรื่องแรงปะทะเมื่อเข้าสู่ระยะประชิด ในขณะที่ผู้ชั่งขาดเล็กน้อยมีความเร็วและความคล่องตัว แต่อาจต้องทำงานมากกว่าเพื่อชดเชยอิมแพค การวางยกให้ต่อเนื่องและการไม่ปล่อยให้หลุดจากแผนเดิม คือเงื่อนไขสำคัญในการคุมเกม หากสามารถปิดยกให้คมอย่างสม่ำเสมอ ภาพคะแนนยกต่อยกจะค่อย ๆ โน้มเข้าหาโดยไม่ต้องเสี่ยงประมาทในจังหวะที่ไม่จำเป็น

โดยสรุป โฟลว์ของค่ำคืนนี้จะเริ่มจากเกมชิงจังหวะที่ต้องใช้ความละเอียดสูง ค่อย ๆ ไต่ระดับสู่ไฟท์ที่อิมแพคชัด วัดกันที่การคุมวงในและวินัยการ์ด ปิดท้ายด้วยคู่ที่ต้องบริหารแรงปลายอย่างใจเย็น ผู้ชมควรมองหา “ช็อตชัด” ในช่วงท้ายยก ไม่ว่าจะเป็นหมัดตรงสะอาด เตะลำตัวที่มีผลจริง หรือศอกที่ทำให้หยุดชะงัก เพราะเหตุการณ์เสี้ยววินาทีเหล่านี้มักเป็นตัวเปลี่ยนทิศทางคะแนนอย่างได้ผล และเป็นภาพจำสำคัญที่พาไปสู่ผลแพ้ชนะหลังระฆังสุดท้าย